ReadyPlanet.com
dot
dot
หลักสูตรอบรม
dot
bulletออทิสติก
bulletสติปัญญา
bulletร่างกายหรือสุขภาพ
bulletการเรียนรู้
bulletพฤติกรรมและอารมณ์
bulletภาษาและการสื่อสาร
bulletการเห็น
bulletการได้ยิน
bulletพิการซ้อน
dot
รวมลิงค์เว็บเพื่อนบ้าน
dot
bulletสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ
bulletIRIS: Professional Development
bulletโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์
bulletสถิติการศึกษา สพฐ.
dot
Newsletter

dot


เพลง
สมาคมวิจัยทางการศึกษาพิเศษ
ดวง
ประสาทสัมผัส
ออทิสติก
ดาวน์โหลด
วิจัย พิเศษ


ออทิสติก

 

 

 
บุคคลออทิสติก
“เทวดาตัวน้อย ของพ่อกับแม่”
ปนัดดา วงคจันตา   (นักกิจกรรมบำบัด)
รู้จัก....บุคคลออทิสติก
             ออทิซึ่มเป็นความผิดปกติทางพัฒนาการที่มีรายงานครั้งแรกในปี 1943 โดยนายแพทย์ Leo Kanner จิตแพทย์เด็กชาวอเมริกัน โดยมีความผิดปกติของพัฒนาการทางระบบประสาทซึ่งส่งผลให้มีความบกพร่องด้านการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับบุคคลอื่น ไม่รู้จักสร้างความสัมพันธ์หรือความผูกพันต่อบุคคลอื่น มีความยุ่งยากในการสื่อสารตลอดจนมีรูปแบบของพฤติกรรมซ้ำ ๆ ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง บุคคลออทิสติกบางคนมีความสามารถดีกว่าบุคคลทั่วไป เช่น มีความจำดีเป็นพิเศษ มีความสามารถทางคอมพิวเตอร์และศิลปะ และแสดงอาการให้เห็นก่อนอายุ 3 ปี  (เพ็ญแข  ลิ่มศิลา, 2545 ; นิรมล พัจนสุนทร, 2547; ทวีศักดิ์ สิริรัตน์เรขา, 2548; ศูนย์สุขภาพจิตที่ 2 กระทรวงสาธารณสุข, 2550 ; Belsky, Miriam(Miller),1998 ; American Psychiatric Association [APA] , 2000)   ปัจจุบันอัตราการแพร่กระจายของบุคคลอทิสติกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว   ในประเทศอเมริกา พบ อัตราการแพร่กระจายของโรคออทิสซึ่มเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 10-17 ต่อปี (Centers for Disease Control and Prevention :USA, 2008) หรือ 1 : 150 ของอัตรากำเนิดประชากร และจะเกิดขึ้นกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิง 4 เท่า สำหรับประเทศไทยการแพร่กระจายของโรคออทิซึมในเด็ก อายุ 1-5 ปี  มีความชุกของโรคออทิซึม เท่ากับ 9.9 : 10,000 คนและมีความเสี่ยงต่อโรคออทิซึ่มจากการคัดกรอง 4.4:1,000 หรือ 1 : 227 (ศรีวรรณา พูลสรรพสิทธิ์และคณะ,2548)   โดยเกิดจากความผิดปกติทางชีววิทยาโดยแสดงอาการทางการรับความรู้สึก   (Sensory symptoms) ที่ผิดปกติในลักษณะต่างๆ (Lord, 1995; Smith, Tristram and Michelle, 2000) ส่งผลให้บุคคลออทิสติกมีการเรียนรู้ลดลง (Adrien et al., 1993; Ornitz, Lane, Sugiyama, & de Traversay, 1993; Baranek, 1999 ; Yeung-Courchesne & Courchesne, 1997 ; Belsky, 1998 ; and Tomchek & Dunn, 2007)  

 

 

สาเหตุของโรคออทิสซึม
            วินัดดา ปิยะศิลป์ (2543) กล่าวว่า ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของโรค
ออทิสซึม เพียงแต่ทราบว่าเป็นความบกพร่องของสมองที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับระบบประสาทสัมผัสและการรับรู้ ซึ่งสาเหตุของโรคสรุปได้เป็น 3 รูปแบบ คือ 
            1)         มีพยาธิสภาพที่ผิดปกติในสมอง จึงเป็นสาเหตุให้เกิดอาการเฉพาะออกมาพบอาการออทิสติกร่วมกับที่มีเนื้อสมองอักเสบในวัยทารก เด็กที่เกิดจากแม่เป็นหัดเยอรมันขณะตั้งครรภ์ การชักชนิด Infantile Spasm และ Tuberous Sclerosis (โรคทางกรรมพันธุ์ที่มีความผิดปกติของเนื้อสมองและผิวหนัง) เด็กที่ขาดอากาศขณะคลอดเป็นต้น เมื่อตรวจคลื่นสมองมักพบว่ามีความผิดปกติได้สูงบางรายงานพบผิดปกติชัดเจนจากการตรวจเอ็กซเรย์พิเศษที่ระบบประสาท
            2)         ไม่มีพยาธิสภาพชัดเจน แต่มีผลกระทบต่อการทำงานของสมองโดยพบทางสารเคมีที่มีระดับผิดปกติ ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการศึกษาอย่างมากมาย
            3)         กรรมพันธุ์ ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุอยู่เบื้องหลัง เนื่องจากพบโรคนี้ร่วมกับโรคที่มีความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ เช่น  Tuberous Sclerosis, Fragile Syndrome (โรคทางกรรมพันธุ์ที่มีความผิดปกติของเนื้อสมองและผิวหนัง)   และพบบุคคลออทิสติกในครอบครัวได้
            นิรมล พัจนสุนทร (2547) ได้กล่าวถึงสาเหตุของโรคออทิสซึม ว่า ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอน ว่าอะไรที่ทำให้ระบบประสาทในสมองของบุคคลออทิสติกมีความผิดปกติ แต่เชื่อว่าอาจมาจาก 2 เหตุรวมกัน คือ สาเหตุจากภายใน คือ พันธุกรรม และสาเหตุจากสิ่งแวดล้อม โดยว่าอาจจะมีพันธุกรรมเป็นตัวกำหนด และจะแสดงอาการออทิสติกได้ เมื่อสิ่งแวดล้อมบางอย่างมากระตุ้น เช่น การคลอดยาก ความเครียด ภาวะการเลี้ยงดูที่ขาดการกระตุ้นพัฒนาการ
            นักวิชาการหลายคนได้กล่าวถึงสาเหตุของโรคออทิสติก ว่ายังไม่ทราบสาเหตุของความผิดปกติที่ชัดเจน ปัจจุบันมีหลักฐานสนับสนุนว่าเกิดจากการทำงานของสมองและปัจจัยทางชีววิทยาผิดปกติ มากกว่าเป็นผลมาจากสิ่งแวดล้อม ปัจจัยด้านต่างๆที่เชื่อว่าเป็นสาเหตุของการเกิดโรคออทิสติก ดังนี้ คือ (ชาญยุทธ์ ศุภคุณภิญโญ, 2547 ; ทวีศักดิ์ สิริรัตน์เรขา,2548; สาริณี รุ่งศรี ,2549)
            1)         ด้านพันธุกรรม (Genetic Factor) เด็กฝาแฝดที่เป็นออทิสติก จะ ถูกควบคุมโดยปัจจัยด้านพันธุกรรมสูงมาก ในครอบครัวที่มีบุตรเป็นโรคออทิสติก ลำดับที่ 1 เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคออทิสติก หรือกลุ่มโรคคล้ายออทิสติก (Autistic Like)
            2)         ด้านเภสัชวิทยาระบบประสาท (Neuropharmacological Study)บุคคลออทิสติกบางคนมีสารเคมีสื่อประสาท ซีโรโทนิน (Serotonin) โดยมีระดับในเกล็ดเลือดสูงขึ้น แต่ยังไม่สามารถอธิบายเหตุผลที่ชัดเจนได้ ว่าเกิดจากอะไร
            3)         คลื่นไฟฟ้าสมอง (Electroencephalography - EEG) บุคคลออทิสติกบางคนมีความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าสมอง มากกว่าประชากรปกติ แต่ไม่พบลักษณะจำเพาะที่อธิบายความผิดปกติของการทำงานของสมองได้
            4)         ภาพฉายระบบประสาท (Neural Imaging) บุคคลออทิสติกบางคนมีความผิดปกติหลากหลายรูปแบบ แต่ยังคลุมเครืออยู่ ไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจน เช่น Cerebellar Vermis Hypoplasia or Hyperplasia, Third Ventricle ใหญ่,  Caudate เล็ก, Right Anterior Cingulate Gyrus เล็ก

 

 

Cerebellar Vermis
Third ventricle
Caudate nucleus
Right Anterior Cingulate Gyrus
 
 
 
 
 

 

 

            5) พยาธิวิทยาระบบประสาท (Neuropathological Study) บุคคลออทิสติกบางคนมีความผิดปกติในสมอง 3 แห่ง คือ Limbic system,Cerebellum ควบคุมระบบกล้ามเนื้อให้สัมพันธ์กันและควบคุมการทรงตัวของร่างกาย และ Cerebellar circuits  ดังนี้ 
                        5.1) Purkinje cells  ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเซลล์ประสาทสั่งการและเซลล์ประสาทประสานงาน (Motor and association neuron) เหลือน้อยมาก
                        5.2) Cerebellar circuits  ยังคงเหลือ "วงจร" เซลประสาท ซึ่งจะพบได้แต่ในตัวอ่อนเท่านั้น "วงจร" เซลประสาทที่เหลือนี้จะเชื่อมต่อกับ ระบบประสาทส่วนกลางทั้งหมด   
                        5.3)  มีเซลประสาทเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากในบริเวณ   Limbic system ประกอบด้วย Hippo campus และ Amygdala ส่งผลให้บุคคลออทิสติกมีความผิดปกติด้านพัฒนาการของสมอง ตั้งแต่ยังเป็นตัวอ่อน ในระยะ 30 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์
            Limbic system   ทำหน้าที่เกี่ยวกับความฉลาดของอารมณ์  ความผิดปกติของ Limbic system ทำให้บุคคลออทิสติกไม่มีการพัฒนา เกี่ยวข้องกับ พฤติกรรม การรับรู้ และความจำ มีผลให้ความสัมพันธ์ทางสังคม ภาษา และการเรียน ผิดปกติไปด้วย Limbic system ประกอบด้วย

 

 

ลิมบิคซีสเทม(Limbic system)
ฮิปโปแคมปัส (Hippocampus)
อะมิกดาลา(Amygdala)
 
 
 

 

 

         
(1) Hippo campus (ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของระบบประสาทอัตโนมัติ และสร้างฮอร์โมนเพื่อควบคุมการผลิตฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองซึ่งจะทำการควบคุมสมดุลของปริมาณน้ำและสารละลายในเลือด และยังเกี่ยวกับการควบคุมอุณหภูมิร่างกาย อารมณ์ความรู้สึก วงจรการตื่นและการหลับ การหิว การอิ่ม และความรู้สึกทางเพศ นอกจากนั้น Hippocampus ยังมีส่วนในการสร้างความจำใหม่ๆเวลาที่เราๆได้ประสบกับเหตุการณ์ต่างๆ) 
                        (2) Amygdala   เป็นส่วนของสมองที่ทำหน้าที่ในการรับรู้ความทรงจำทางด้านอารมณ์ (Emotional) เป็นที่รวบรวมอารมณ์ในช่วงเวลาแห่งความสำเร็จหรือล้มเหลวความหวังและความกลัวความหดหู่ท้อถอยหรือความสับสน ซึ่งจะใช้ความทรงจำนี้ในการตรวจสอบข้อมูลที่เข้า
มาใหม่ทางระบบประสาทต่างๆเพื่อประเมินถึงภาวะอันตรายหรือโอกาสอันดี โดยเปรียบเทียบกับประสบการณ์ทางอารมณ์ที่ผ่านมามาใหม่ทางระบบประสาทต่างๆเพื่อประเมินถึงภาวะอันตรายหรือโอกาสอันดี โดยเปรียบเทียบกับประสบการณ์ทางอารมณ์ที่ผ่านมา   
            6)   การศึกษาปริมาตรของสมอง (Study of Brain Volume) บุคคลออทิสติกบางคนมีปริมาตรของสมองเพิ่มขึ้น ในบริเวณ สมองกลีบท้ายทอย (Occipital lobe)   สมองกลีบขมับ (Parietal lobe)  และ สมองกลีบข้าง (Temporal lobe)  ยกเว้นสมองกลีบส่วนหน้า (Frontal Lobe)  ปัจจุบันยังไม่ทราบแน่ชัดว่าการเพิ่มขึ้นของขนาดสมองในบุคคลออทิสติก เกี่ยวข้องอย่างไรกับอาการที่แสดงออกมาให้เห็น สรุปได้แต่เพียงว่ามีความผิดปกติแน่นอนในสมอง ทั้งในระดับกายวิภาคและในระดับการทำงานของเซลล์ ความผิดปกตินี้ซับซ้อน และมีอยู่หลายตำแหน่งซึ่งยังคงต้องการการศึกษาวิจัยต่อไป และพบว่าเส้นรอบวงของศีรษะ (Head Circumference) ปกติในตอนแรกเกิด แล้วเริ่มมากผิดปกติในช่วงวัยเด็กตอนต้นถึงตอนกลาง
            สมองกลีบส่วนหน้า (Frontal Lobe) ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหว การออกเสียง ความคิด ความจำ สติปัญญา บุคลิก ความรู้สึก พื้นอารมณ์
            สมองกลีบข้าง (Temporal lobe)  ทำหน้าที่ควบคุมการได้ยิน การดมกลิ่น
            สมองกลีบท้ายทอย (Occipital lobe)  ทำหน้าที่ควบคุมการมองเห็น
            สมองกลีบขมับ (Parietal lobe)  ทำหน้าที่ควบคุมความรู้สึกด้านการสัมผัส การพูด การรับรส 

 

 

การวินิจฉัยแยกโรคและระดับอาการ
การวินิจฉัยความบกพร่องของบุคคลออทิสติกนั้น เบญจา ชลธาร์นนท์ (2548) ได้กล่าวไว้ว่า ได้มีการดำเนินการเป็นครั้งแรก เมื่อพุทธศักราช 2523 โดยกำหนดเป็นภาวะออทิสซึมในวัยทารก (Infantile Autism) มีลักษณะ 4 ประการ คือ 1) เกิดก่อนอายุ 30 เดือน 2) ขาดการตอบสนองอย่างมาก 3)   บกพร่องทางภาษาและมีลักษณะการพูดที่แปลกๆ และ 4) ตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมในลักษณะที่แปลกๆ ต่อมาในปีพุทธศักราช 2530 ได้แบ่งความบกพร่องของบุคคลออทิสติกออกเป็น 3 ด้าน คือ 1) ความบกพร่องในการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมเป็นเชิงสองทาง   2)   ความบกพร่องในการสื่อสารและจินตนาการ   และ  3) มีความจำกัดอย่างมากในการทำกิจกรรมและความสนใจโดยใช้คำว่า Pervasive Development Disorder Not Otherwise Specified   แทน   Infantile Autism   หลังจากพุทธศักราช 2537 ได้มีการวินิจฉัย Rett’s Disorder, Childhood Disintegrative Disorder และ Asperger’s Syndrome แยกออกจากออทิสซึม ซึ่งเด็กทั้ง 3 กลุ่มนี้เป็นเด็กที่มีความบกพร่องระดับรุนแรงในการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม การสื่อสารและพฤติกรรมแต่ไม่ครบเกณฑ์การวินิจฉัยลักษณะของความเป็นออทิสซึม
            ปัจจุบันสามารถวินิจฉัยภาวะออทิสซึมได้ด้วยการสังเกตพฤติกรรมเด็กโดยตรงสอบถามสัมภาษณ์ทุกคนในครอบครัวและผู้ดูแลเด็กให้ได้ข้อมูลครอบคลุมพัฒนาการทุกด้านและมีแบบตรวจสอบพฤติกรรมที่จะช่วยแยกความเป็นออทิสติกจากความบกพร่องในเด็กประเภทอื่นๆ เช่น เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาที่ไม่เป็นออทิสติก ความบกพร่องทางภาษาหรือโรคจิตรวมทั้งยังมีการตรวจสอบมาตรฐานที่จะช่วยอธิบายหรือบอกให้รู้ถึงความล่าช้าของพัฒนาการหรือความเบี่ยงเบนจากเด็กปกติเพียงไร มารดาบางรายสามารถสังเกตพฤติกรรมและพบความผิดปกติตั้งแต่แรกเกิดหรือหลังจากเกิดไม่นาน โดยเด็กขาดปฏิกิริยาโต้ตอบกับสิ่งแวดล้อม อาการในเด็กอ่อนจะมีเพียงเล็กน้อยซึ่งยากต่อการวินิจฉัยจนกว่าอายุ 2 ปี บางรายมีพัฒนาการผิดปกติในช่วง 1-2 ปี
นักวิชาการหลายคนได้จำแนกระดับอาการของบุคคลออทิสติกตามอาการที่แสดงออก ได้ 3 ระดับ ดังนี้ คือ (สมภพ เรืองตระกูล (2545) ชาญยุทธ์ ศุภคุณภิญโญ (2547) และชูศักดิ์ จันทยานนท์ (2548)
            1)         ระดับที่มีอาการน้อย เรียกว่า Mild Autism บางครั้งเรียกกลุ่มออทิสติกที่มีศักยภาพสูง (High Functioning Autism) จะมีระดับสติปัญญาปกติหรือสูงกว่าปกติ มีพัฒนาการทางภาษาดีกว่ากลุ่มอื่น อาจมีความสามารถบางอย่างแฝงอยู่หรือเป็นอัจฉริยะ แต่ยังมีความบกพร่องในทักษะด้านสังคม การรับรู้อารมณ์ความรู้สึกของบุคคลอื่น ในปัจจุบันมีคนเรียกเด็กกลุ่มนี้อีกชื่อหนึ่งว่า แอสเพอเกอร์ (Asperger Syndrome) มีอยู่ประมาณร้อยละ 5-20
            2)         ระดับกลุ่มที่มีอาการปานกลาง เรียกว่ากลุ่ม Moderate Autism กลุ่มนี้จะมีความล่าช้าในพัฒนาการด้านภาษา การสื่อสาร ทักษะสังคม การเรียนรู้ รวมทั้งด้านการช่วยเหลือตนเองแต่สามารถพัฒนาจนสามารถช่วยเหลือตนเองได้และอาจเรียนในระบบได้ถึงระดับหนึ่ง กลุ่มนี้จะมีอยู่ประมาณร้อยละ 50-75
            3)         ระดับกลุ่มที่มีอาการรุนแรง เรียกว่ากลุ่ม Severe Autism กลุ่มนี้จะมีความล่าช้าในพัฒนาการเกือบทุกด้าน มีปัญหาพฤติกรรมที่รุนแรงและอาจเกิดร่วมกับภาวะความพิการอื่นเช่น ปัญญาอ่อน ตาบอด หากไม่รับการกระตุ้นพัฒนาการมาตั้งแต่ต้นจะสามารถพัฒนาได้เพียงแค่ช่วยเหลือตนเองได้ เรียนรู้อะไรได้มาก กลุ่มนี้จะมีอยู่ประมาณร้อยละ 20-30
            ชาญยุทธ์ ศุภคุณภิญโญ (2547) กล่าวว่า 1 ใน 3 ของบุคคลออทิสติกที่ผ่านการบำบัดรักษาสามารถช่วยเหลือดูแลตนเองได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาผู้อื่น ประมาณ 2  ใน 3 ของบุคคลออทิสติก ยังต้องการคนดูแลช่วยเหลือในกิจวัตรประจำวัน ร้อยละ 1- 2 สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตัวเอง และดำเนินชีวิตเหมือนคนทั่วไปได้  โดย  ปัจจัยที่จะเป็นตัวทำนายว่าบุคคลออทิสติกคนใดจะสามารถเรียนรู้และดูแลตนเองได้มากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับปัจจัยดังนี้ คือ 
            1)         ระดับเชาวน์ปัญญา พบว่าบุคคลออทิสติกที่มีระดับ เชาวน์ปัญญามากกว่า  70 จะมีพยากรณ์โรคดีที่สุด  
            2)         ความสามารถในการสื่อสาร บุคคลออทิสติกที่สามารถสื่อสารได้ก่อนอายุ 5 ปี จะสามารถพยากรณ์โรคดี  
            3)         อายุเริ่มแรกที่เริ่มรักษา บุคคลออทิสติกที่ได้รับการช่วยเหลือตั้งแต่อายุน้อยๆพยากรณ์โรคจะดีกว่าแสดงให้เห็นความสำคัญในการค้นหาและช่วยเหลือผู้ป่วยแต่แรกเริ่ม
การช่วยเหลือและการพัฒนาบุคคลออทิสติก
การช่วยเหลือและการพัฒนาบุคคลออทิสติก บุคคลในครอบครัวมีบทบาทสำคัญมาก เนื่องจากเป็นหน่วยย่อยที่สุดของสังคมที่อยู่ใกล้ชิดบุคคลออทิสติกมากที่สุด ถ้าสมารถให้ความช่วยเหลือตั้งแต่แรกเริ่มได้เร็วบุคคลออทิสติกก็จะสามารถดำเนินชีวิตอิสระหรือเป็นภาระต่อครอบครัวน้อยลง การมีสมาชิกเป็นบุคคลออทิสติก ครอบครัวควรดำเนินการดังนี้  1)            ทุกคนในครอบครัวต้องยอมรับและเข้าใจถึงความต้องการจำเป็นและข้อจำกัดของบุคคลออทิสติก 2) สอนทักษะพื้นฐานที่จำเป็นในการดำเนินชีวิตประจำวันและการดำรงชีวิตอยู่ในสังคม เช่น การรับประทานอาหาร การแปรงฟัน การล้างมือ การล้างจานชาม การทักทายบุคคลอื่น การขอโทษ การขอบคุณ 3) ฝึกให้บุคคลออทิสติกรู้จักดูแลด้านสุขภาพอนามัยของตนเอง   4) เพิ่มความสามารถในการเข้าสังคมโดยการพาบุคคลออทิสติกออกสู่สังคมภายนอก เรียนรู้มารยาท   ประเพณีและวัฒนธรรมในสังคม โดยใช้สื่อการเรียนรู้ทางสายตา และการสอนภาพรวม (Big picture)    5) ประสานความร่วมมือจากบุคคลที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนในสังคมและกระบวนการ การบำบัดรักษาฟื้นฟูสมรรถภาพ ทั้งทางการแพทย์   การศึกษา กระบวนการทางสังคม ญาติ อาสาสมัคร บุคคลทั่วไปในสังคม ในการกระตุ้นพัฒนาการบุคคลออทิสติกทุกด้าน เพื่อช่วยส่งเสริมสนับสนุนให้บุคคลออทิสติกสามารถช่วยเหลือตนเองได้ 
เอกสารอ้างอิง
ชาญยุทธ์ ศุภคุณภิญโญ. (2547). อุบัติการณ์ สาเหตุ และการดำเนินโรคออทิสซึ่ม.  ความรู้เรื่องออทิสติกสำหรับผู้ปกครอง ครูและบุคลากรทางสาธารณสุข. พิมพ์ครั้งที่ 2. ขอนแก่น: โรงพิมพ์คลังนานาวิทยา.
ชูศักดิ์ จันทยานนท์ (2548) ). การจัดการศึกษาสำหรับเด็กออทิสติก โดยครอบครัว ชุมชนและองค์กรเอกชน.  เอกสารประกอบการประชุมสัมมนา เรื่อง การจัดการศึกษาสำหรับเด็กออทิสติกโดยครอบครัว และชุมชน ณ ห้องอยุธยา โรงแรมนารายณ์ กรุงเทพฯ. 28 มิถุนายน 2543. กรุงเทพฯ: [ม.ป.พ.].
ดุสิต ลิขนะพิชิตกุล.  (2545). พัฒนาการบำบัดสำหรับเด็กออทิสติก.  กรุงเทพฯ: แปลนพับลิชชิ่ง.
ทวีศักดิ์  สิริรัตน์เรขา. (2548). ออทิสติก. ค้นเมื่อ 11 สิงหาคม 2548, จาก www.happyhomeclinic.com/autism.htm
นิรมล พัจนสุนทร. (2547).  ความรู้เรื่องออทิสติกสำหรับผู้ปกครอง. ความรู้เรื่องออทิสติกสำหรับผู้ปกครอง ครู และบุคลากรทางสาธารณสุข. พิมพ์ครั้งที่ 2. ขอนแก่น: โรงพิมพ์คลังนานาวิทยา.
เบญจา ชลธาร์นนท์.  (2548).  การพัฒนาหลักสูตรสำหรับบุคคลออทิสติก ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2547 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวง ศึกษาธิการ. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์.
เพ็ญแข  ลิ่มศิลา, (2545). ออทิสซึ่มในประเทศไทย: จากตำราสู่ประสบการณ์.  เอกสารการประชุม
ระดับ ชาติ เรื่อง ครู หมอ พ่อแม่: มิติแห่งการพัฒนาศักยภาพบุคคลออทิสติก.  กรุงเทพฯ: พัฒนาคุณภาพวิชาการ.
ศรีวรรณา พูลสรรพสิทธิ์ และคณะ(2548).การศึกษาภาวะออทิสซึมในประเทศไทยและการดูแลรักษาแบบบูรณาการในระดับประเทศ.วารสารสุขภาพจิตแห่งประเทศไทย, ปีที่ 13, ฉบับที่ 1, มกราคม 2548, หน้า 10-16.
ศูนย์สุขภาพจิตที่ 2 กระทรวงสาธารณสุข. (2550). ออทิสซึ่ม/ออทิสติก.  ค้นเมื่อ 11 มิถุนายน 2550, จาก www.dmhweb.dmh.go.th/mhc2/knowledge_part01.htm.
สมภพ เรืองตระกูล.  (2545).  ตำราจิตเวชเด็กและวัยรุ่น.  กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์เรือนแก้ว. 
สาริณี รุ่งศรี (2549). ออทิสติก.  ค้นเมื่อ11 สิงหาคม 2548, จาก www.ladpraohospital.com/ healthKnowledges.asp?id=3&language=2
อลิสา วัชรสินธุ.  (2546).  จิตเวชเด็ก.  กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 
Adrien, J. L., Perrot, A., Sauvage, D., Leddet, I., Larmande, C., Hameury, L., et al. (1992). Early symptoms in autism from family home movies. Acta Paedopsychiatrica, 55, 71-75.
American Psychiatric Association. (2000). Pervasive developmental disorders. In Diagnostic and
statistical manual of mental disorders Fourth edition-text revision (DSM-IV-TR).
Washington, DC: American Psychiatric Association, 69-70.
Baranek, G. T. (1999). Autism during infancy: A retrospective video analysis of sensory-motor and social behaviors at 9-12 months of age. Journal of Autism and Developmental Disorders, 29, 213-224.
Belsky, M.M. (1998). Parents' perceptions of the effectiveness of sensory integration and behavior modification in autistic preschool children. New York: Touro College; 1998. Publication Number: AAT .
Belsky, M.M. (1998). Parents' perceptions of the effectiveness of sensory integration and behavior modification in autistic preschool children. New York: Touro College; 1998. Publication Number: AAT .
Lord, C. (1995). Follow-up of two-year-olds referred for possible autism. Journal of Child Psychology and Psychiatry, 36, 1365-1382.
Ornitz, E. M., Lane, S. J., Sugiyama, T., & de Traversay, J. (1993). Startle modulation studies in autism. Journal of Autism and Developmental Disorders, 23(7), 619-637.
Smith, T. and Antolovich, Michelle. (2000).Parental Perceptions of Supplemental Interventions Received by Young Children with Autism in Intensive Behavior Analytic Treatment. In Behavioral Interventions :15: 83-97 (2000) John Wiley & Sons, Ltd..
Tomchek, S. D., & Dunn, W. (2007). Sensory processing in children with and without autism: A comparative study using the Short Sensory Profile. American Journal of Occupational Therapy, 61(42), 190-200.
Yeung-Courchesne, R., & Courchesne, E. (1997). From impasse to insight in autism: From behavioral symptoms to biological explanations. Development and Psychopathology, 9, 389-419.